ความเปลี่ยนแปลงที่แสนมหัศจรรย์จากการใช้ระบบน้ำหยดในนาข้าว

ความเชื่อกว่า 5,000 ปีที่ว่าการทำนาที่ดีที่สุดคือการขังน้ำในแปลงนาตลอดเวลา ได้ถูกท้าทายด้วยเทคโนโลยีน้ำหยด ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ผลผลิตที่ดีกว่าเท่านั้น แต่ยังลดการใช้น้ำได้มากกว่า 70% พร้อมทั้งยังช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศ และลดการดูดซึมสารหนูของต้นข้าวได้ถึง 90%

ทำไมจึงควรเลือกใช้ระบบน้ำหยดในการปลูกข้าว

  • ข้าวเป็นพืชที่เหมาะกับการปลูกด้วยระบบน้ำหยด
    แม้ว่าข้าวเป็นพืชที่สามารถเติบโตได้ในภาวะน้ำขัง แต่จริง ๆ แล้ว ข้าวเป็นพืชที่สามารถเติบโตได้ดีด้วยการปลูกในลักษณะเดียวกับพืชโดยทั่วไป ในปัจจุบัน ทั้งเทคโนโลยีการกำจัดวัชพืชและการให้น้ำได้มีการพัฒนามากขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้อดีดังกล่าวจากการปลูกข้าวแบบน้ำขังอีกต่อไป

  • ได้กำไรมากขึ้น
    ระบบน้ำหยดช่วยให้สามารถปลูกพืชหมุนเวียนได้มากกว่าหนึ่งรอบ จึงช่วยให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากพื้นที่เพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
  • ข้าวที่ได้มีคุณภาพดีขึ้น เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น
    การปลูกข้าวแบบน้ำขัง ทำให้มีสารหนูตกค้างในเมล็ดข้าวในปริมาณสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก แต่ด้วยการใช้ระบบน้ำหยด รากข้าวจะไม่จมอยู่ใต้น้ำ จึงลดการดูดซึมสารหนูลงได้กว่า 90%
Drip irrigation for rice - Netafim
Drip irrigation for rice - Netafim

อนุรักษ์ทรัพยากรไปพร้อมกับการรักษาโลกใบนี้

  • การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
    การปลูกข้าวแบบน้ำขัง มีความต้องการใช้น้ำมากถึง 5,000 ลูกบาศก์เมตรเพื่อให้ได้ผลผลิตข้าว 1 ตัน แต่การปลูกข้าวในระบบน้ำหยด ข้าว 1 ตัน จะมีความต้องการใช้น้ำเพียง 1,500 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น เนื่องจากระบบน้ำหยดจะช่วยลดการสูญเสียน้ำจากการระเหยและลดปริมาณน้ำที่ซึมลงสู่ดิน
  • ลดผลกระทบที่เกิดกับสภาพแวดล้อม
    การปลูกข้าวแบบน้ำขังสามารถก่อให้เกิดปริมาณก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนได้มากถึง 25% ดังนั้น หากเกษตรกรแค่เพียง 10% หันมาปลูกข้าวด้วยระบบน้ำหยดแทน ก็จะช่วยลดปริมาณก๊าซมีเทนที่จะถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้มากเทียบเท่ากับการงดใช้รถยนต์จำนวนถึง 40 ล้านคันเลยทีเดียว

คำถามที่พบบ่อย

พร้อมหรือยังสำหรับการเปลี่ยนแปลง

พร้อมหรือยังสำหรับการเปลี่ยนแปลง

ถึงเวลาแล้วสำหรับการสร้างผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไปพร้อม ๆ กับการรักษาสภาพแวดล้อม